สภาทองคำโลก (World Gold Council:WGC) รายงานความต้องการทองคำ ประจำไตรมาส 4 และภาพรวมปริมาณความต้องการตลอดปี 2024 รวมถึงปริมาณทองคำทั่วโลกนอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) อยู่ที่ 4,974 ตัน
โดยในปี 2024 ประเทศไทยมีปริมาณความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่จำนวน 39.8 ตันต่อปี คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สภาทองคำโลกระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2024 นั้น ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลาง และความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
รวมถึงราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดหลายครั้งในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการทองคำรวม มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำในปริมาณที่มหาศาลอย่างต่อเนื่องในปี 2024 โดยมีปริมาณการซื้อในระดับสูงกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยเฉพาะการเข้าซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 4 จำนวน 333 ตัน ซึ่งส่งผลให้ยอดรวมการซื้อทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1,045 ตัน
ด้านความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกนั้นได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุนในกองทุน Gold ETF ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 กองทุน Gold ETF ทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำอีก 19 ตัน ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองสำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ ขณะเดียวกัน ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำยังคงใกล้เคียงกับปี 2023 ที่ปริมาณ 1,186 ตัน
สำหรับปี 2024 ประเทศไทยมีระดับความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในไตรมาสที่ 4 จำนวน 14.6 ตัน เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทำให้ปริมาณความต้องการของประเทศไทยรวมตลอดทั้งปี 2024 อยู่ที่จำนวน 39.8 ตัน เนื่องจากสภาวะราคาทองคำที่พุ่งสูง สภาทองคำโลกจึงมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความต้องการเครื่องประดับทองคำที่ลดลงนั้น เป็นแนวโน้มที่ไม่น่าแปลกใจ
โดยปริมาณการบริโภคเครื่องประดับทองคำทั่วโลกสำหรับปี 2024 ได้ลดลง 11% หรือ 1,877 ตัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการเครื่องประดับทองคำของไทยยังคงแข็งแกร่ง
(ปรับลดลงเพียง 2%) และมีความต้องการรายปีรวมเกือบ 9 ตัน
ทั้งนี้ การลดลงของความต้องการเครื่องประดับทองคำทั่วโลกส่วนใหญ่นั้นมีที่มาจากความต้องการทองคำในประเทศจีน ซึ่งปรับลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อินเดียยังมีปริมาณความต้องการที่แข็งแกร่ง (ลดลงเพียง 2% เท่านั้น)
คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ราคาทองคำที่สูงต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2024 นั้น ถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยนับว่ามีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่น ๆ โดยมีปริมาณการบริโภคเครื่องประดับทองคำของไทยลดลงเพียง 2% ขณะที่ทั่วโลกได้ปรับลดลงถึง 11% เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยจำกัดระดับการปรับตัวลดลงของปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับได้”
คุณเซาไก ฟาน กล่าวเสริมว่า “ปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ความต้องการลงทุนในทองคำแท่ง และเหรียญทองคำของประเทศไทยแข็งแกร่งมาก และสูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลก
เพราะคนไทยได้มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ที่ทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในประเทศได้
นอกจากนี้ การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อการออมทองคำในรูปแบบดิจิทัล ยังได้ช่วยสนับสนุน ให้ความต้องการทองคำของประเทศไทยนั้นแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”
สภาทองคำโลกยังได้ระบุอีกว่า ทองคำในภาคเทคโนโลยีได้ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2021 เป็นต้นมา โดยมีความต้องการจำนวน 84 ตัน
การเติบโตของปริมาณทองคำที่ใช้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณสุทธิรายปีรวม 326 ตัน
ด้านอุปทานทองคำทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบเป็นรายปี และทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 4,794 ตัน จากทั้งการผลิตของเหมืองแร่ และการรีไซเคิลทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น
คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2024 โดยราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40 ครั้งในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความต้องการทองคำในปี 2024 มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี โดยภาคธนาคารกลางมีความต้องการที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 1 ก่อนจะชะลอตัวลงในช่วงกลางปี และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4
ขณะที่นักลงทุนฝั่งตะวันตกได้หันกลับมาสนใจลงทุนในทองคำอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินทุนจากฝั่งเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลให้กระแสการลงทุนในกองทุน Gold ETF ทั่วโลกปรับทิศทางเป็นเชิงบวกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี
โดยความเคลื่อนไหวนี้มีที่มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งได้เริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความไม่แน่นอนในระดับโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง”
คุณหลุยส์ สตรีท ได้กล่าวเสริมว่า “ในปี 2025 นี้ เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอยู่ในทางกลับกัน เครื่องประดับทองคำอาจยังคงชะลอตัวต่อไป
เนื่องจากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคนั้น น่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี
ซึ่งสภาวะนี้จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยรักษามูลค่า และเป็นเครื่องมือลดผลกระทบจากความเสี่ยง”
รายละเอียดเพิ่มเติม : gold.org